“โจ ณัฐวุฒิ” ยอดนักสู้หัวใจอินดี้กับ 7 ปี ที่ฉายเดี่ยวไร้เทรนเนอร์ส่วนตัว

“มีเทรนเนอร์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้สำหรับนักกีฬาที่ต้องการพัฒนาฝีมือเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ แต่สำหรับ “สโมกกิน โจ” ณัฐวุฒิ นักชกสายโหดที่ไปสร้างชื่อเสียงโด่งดังไกลถึงต่างแดน กลับไม่เคยมีเทรนเนอร์ประจำตัวมาตั้งแต่เริ่มชกมวยในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 7 ปีก่อน จนถึงทุกวันนี้ เทรนเนอร์ที่เขามีก็เป็นเพียงกลุ่มเพื่อนที่มาฝึกซ้อมด้วยกันที่ยิมของเขาเท่านั้นเอง

Jo Nattawut DC 6206

นักชกยอดฝีมือจากเมืองย่าโม เคยชกมวยอยู่เมืองไทย แต่กลับไม่รุ่ง เขาจึงตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลสู่แผ่นดินอเมริกาเพื่อมองหาโอกาสใหม่ และมีโอกาสได้พบกับ “ขุนพล เดชคำภู” หรือ “ขุนพล แก้วสัมฤทธิ์ (ช.โรจนชัย)” อดีตนักมวยชื่อดังของวงการมวยไทยที่ไปขุดทองจนเป็นเจ้าของค่ายมวย Bangkok Boxing Fitness ในรัฐแอตแลนตา และชักชวนให้ โจ ไปเป็นเทรนเนอร์ที่นั่น

ทีแรก โจ ไม่คิดว่าจะชกมวย แต่โชคชะตาก็พาเขากลับสู่สังเวียนอย่างไม่ทันตั้งตัว โดยในปี 2557 เขามีโอกาสได้ลงแข่งขันในเวที “ไลออนไฟต์” ซึ่งเป็นรายการใหญ่ในอเมริกาในฐานะมวยขัดตาทัพที่รู้ตัวก่อนชกเพียง 10 วัน แต่ในที่สุดเขาก็คว้าชัยชนะมาได้ ปีต่อมา เขาก็ผงาดขึ้นแท่นแชมป์ไลออนไฟต์ รุ่นซูเปอร์ เวลเตอร์เวต และยังสามารถป้องกันตำแหน่งมาได้ถึง 5 ครั้ง แถมยังคว้าแชมป์รุ่นมิดเดิลเวตของรายการเดียวกันมาได้อีกหนึ่งรุ่น

นับแต่นั้นมา โจ ก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอเมริกา แต่แม้จะเป็นถึงระดับแชมป์รายการยิ่งใหญ่ระดับโลก เขาก็ยังคงไร้ซึ่งเทรนเนอร์ประจำกาย โดยมีเพียง ขุนพล ที่เป็นรุ่นพี่คอยให้คำปรึกษาและช่วยเทรนให้เฉพาะช่วงที่มีรายการแข่งขันเท่านั้น

“ผมค่อนข้างจะต่างจากนักมวยคนอื่นที่ต้องซ้อมกับโค้ชหรือเทรนเนอร์ทุกวัน แต่ผมต้องทำงานสอนให้เสร็จก่อน ถึงจะมีเวลาซ้อม ส่วน พี่ขุนพล ก็มีงานของเขาเหมือนกัน ผมจะได้ซ้อมกับพี่เขาจริง ๆ ไม่เกิน 10 วัน ถ้ามีรายการ ส่วนใหญ่ ผมก็จะมีเพื่อน ๆ ที่เป็นนักเรียนในคลาสที่ผมสอนช่วยเป็นคู่ซ้อมและจับเป้าให้”

“ส่วนการศึกษาคู่ต่อสู้หรือการวางแผนการชกซึ่งปกติโค้ชจะดูแล ผมก็จัดการคนเดียวมาตั้งแต่ชกครั้งแรกที่อเมริกาแล้วครับ แต่จริง ๆ ผมไม่ค่อยศึกษาคู่ต่อสู้นะครับ ผมจะใช้เวลาดูเทปคู่ต่อสู้เพียง 5-10 นาที แล้วก็จะมาเน้นการซ้อมในสไตล์เรา คือถ้าเราเห็นว่าเขามีอาวุธแบบนั้น เราก็แค่ต้องฝึกป้องกันตัวเราให้ดี”

“ผมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการวางแผนเท่าไหร่ เพราะผมมองว่าถึงเราจะวางแผนไปดีขนาดไหน พอขึ้นเวทีจริง เหตุการณ์จะเป็นอีกอย่างต่างจากแผนที่วางไว้ ผมจึงมักจะยึดการชกตามสไตล์ของตัวเองมากกว่าที่จะชกแก้ทางคู่ต่อสู้ครับ”

แชร์โพสนี้ แชร์โพส Tweet Line
Scroll to Top